Feasibility Study

ศึกษาความเป็นไปได้โครงการอสังหาริมทรัพย์

บริการรับศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ (Project Feasibility Study)

บริการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท บ้านจัดสรร คอนโด อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม รีสอร์ท โกดัง คลังสินค้า และอื่นๆ

ขอบเขตในการทำ Feasibility Study

Location-วิเคระห์ทำเลที่ตั้ง ลักษณะทางการภาพที่ดิน-Feasibility Study

1. ศึกษาความเป็นไปได้ด้านทำเลที่ตั้ง รวมทั้งลักษณะทางกายภาพโครงการ (Physical Feasibility Study)

รายละเอียดเพิ่มเติม Click

Location-วิเคระห์ข้อกำหนดกฎหมาย-Feasibility Study

2. ศึกษาความเป็นไปได้ด้านข้อกฎหมาย (Legal Feasibility Study)

รายละเอียดเพิ่มเติม Click

Location-วิเคระห์การตลาด-Feasibility Study

3. ศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาด (Marketing Feasibility Study)

รายละเอียดเพิ่มเติม Click

Location-วิเคระห์ตัวเลขทางการเงิน-Feasibility Study

4. ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการเงิน (Financial Feasibility Study)

รายละเอียดเพิ่มเติม Click

1. ศึกษาความเป็นไปได้ด้านทำเลที่ตั้ง รวมทั้งลักษณะทางกายภาพโครงการ (Physical Feasibility Study) โดยศึกษา ลักษณะที่ดิน ฉโนดที่ดิน ความกว้างถนนหน้าที่ดิน รูปร่าง ความกว้างยาว และความเหมาะสมที่จะนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

Real plus-วิเคราะห์กายภาพที่ดิน-Feasibility (4)
Real plus-วิเคราะห์กายภาพที่ดิน-Feasibility (feas)

1.1 ศึกษาลักษณะกายภาพของที่ดิน

  • ความสูง-ต่ำ ของที่ดินโครงการ (Elevation) โดยควรพิจารณาความสูงของที่ดินเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม หรือน้ำขัง และหากที่ดินต่ำเกินไป ต้องพิจารณาถมดินเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนที่ดินเพิ่มขึ้นด้วย
  • หน้ากว้าง ยาว (Frontage) ความกว้าง-ยาวของที่ดินมีผลต่อการออกแบบอาคารและจัดสรรพื้นที่อาคาร เนื่องจากต้องมีระยะร่นรอบอาคารและมีข้อกำหนดด้านกฎหมายต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นควรพิจารณาที่ดินที่มีหน้ากว้าง-ยาว ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาโครงการนั้นๆ
  • พิจารณาขนาดที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการ ขนาดของที่ดินควรสัมพันธ์กับประเภทของโครงการที่ต้องการพัฒนา เช่น โครงการบ้านจัดสรร ,คอนโดมิเนียม,อาคารพาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม เป็นต้น
  • รูปร่างที่ดิน (Shape of the Land) ที่ดินที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปร่างที่เรียบง่าย มักมีความเหมาะสมต่อการพัฒนาโครงการมากกว่า เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างเต็มที่

1.2 ศึกษาการเข้า-ออกสู่ที่ดิน การเดินทาง ว่าสามารถเดินทางเข้าถึงได้สะดวกหรือไม่ (Access and Transportation)

  • การเข้าถึงที่ดิน (Accessibility) ตรวจสอบว่าที่ดินมีทางเข้า-ออกที่สะดวกหรือไม่ ถนนเป็นทางสาธารณะหรือไม่ รวมถึงการเชื่อมต่อกับถนนหลักหรือทางด่วน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางและเพิ่มมูลค่าของโครงการได้
  • ความกว้างของถนนหน้าที่ดิน (Width of the Road) ตรวจเช็คเขตทางว่ามีความกว้างที่สามารถพัฒนาโครงการแต่ละประเภทได้หรือไม่ เช่น โครงการบ้านจัดสรร ถนนสาธารณะด้านหน้าไม่ควรกว้างน้อยกว่า 6 เมตร หรือคอนโดสูงเกิน 23 เมตร และพื้นที่ไม่เกิน 3 หมื่น ตรม. กฎหมายกำหนดให้ถนนด้านหน้าต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร เป็นต้น นอกจากนี้การมีถนนที่กว้างยังสามารถรองรับการจราจรได้ดีเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาโครงการด้วย

1.3 ดูสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูปโภคใกล้เคียง (Surroundings and Infrastructure) เช่น แหล่งงานและแหล่งชุมชนอยู่ใกลมากน้อยเพียงใด  เหมาะสมที่จะนำมาพัฒนาหรือไม่

  • สภาพแวดล้อมโดยรอบ (Surroundings) การสำรวจสภาพแวดล้อมใกล้เคียง เช่น แหล่งชุมชน แหล่งงาน สถานศึกษา หรือสถานพยาบาล รอบข้างเสียงดัง หรือมีแหล่งมลพิษต่างๆหรือไม่ ซึงจากการวิเคราะห์จะช่วยทำให้ทราบว่าพื้นที่นั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาโครงการหรือไม่
  • สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค (Amenities and Infrastructure) การมีไฟฟ้า, น้ำประปา, ระบบระบายน้ำ เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาโครงการ การมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย

2. ศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านข้อกฎหมาย (Legal Feasibility Study) การศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านกฎหมายเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อให้การพัฒนาโครงการ สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสามารถพัฒนาได้โดยไม่ขัดกับข้อกฎหมายต่างๆ

กฎหมายอสังหา
วิเคราะห์กฎหมายอสังหาริมทรัพย์-Real plus (5)

2.1 ศึกษากฎหมายผังเมือง (Urban Planning Laws)

  • ตรวจสอบกฎหมายผังเมือง ว่าพื้นที่ที่ดินที่ต้องการพัฒนานั้นอยู่ในพื้นที่ที่สามารถพัฒนาโครงการตามผังเมืองได้หรือไม่
  • ตรวจสอบข้อจำกัดต่างๆในการพัฒนาโครงการ เช่น ข้อจำกัดความสูงของอาคาร, จำนวนยูนิตที่สามารถสร้างได้ หรืออัตราส่วนพื้นที่ก่อสร้างต่อพื้นที่ดิน (FAR – Floor Area Ratio)

2.2 ตรวจสอบข้อบัญญัติท้องถิ่น

  • ข้อบัญญัติท้องถิ่น ตรวจสอบข้อห้ามต่างๆ การก่อสร้างในบางพื้นที่ เช่น พื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ชุมชนดั้งเดิม หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทางธรรมชาติ เพื่อดูว่าพื้นที่โครงการสามารถก่อสร้างอาคารได้หรือไม่
  • ข้อกำหนดพิเศษ อาจมีข้อกำหนดพิเศษที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้มีการออกแบบอาคารที่สอดคล้องกับลักษณะสถาปัตยกรรมท้องถิ่น หรือการรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เป็นต้น

2.3 ตรวจสอบแนวเวนคืนที่ดิน

  • ตรวจสอบแนวเวนคืนกับทางราชการ ว่าที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการนั้นอยู่ในแนวเวนคืนหรือไม่ เพื่อวางแผนการพัฒนาโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.4 ศึกษากฎหมายการพัฒนาโครงการเฉพาะทางเช่น กฏหมายจัดสรร กฎหมายอาคารชุดเป็นต้น

  • กฎหมายจัดสรร การศึกษากฎหมายการจัดสรรที่ดินจะช่วยให้ทราบข้อกำหนดในการพัฒนาพื้นที่ เช่น ความกว้างถนนในโครงการ , พื้นที่ส่วนกลาง, ขนาดพื้นที่ดิน และความกว้าง-ยาวของที่ดินที่แต่ละแปลง เป็นต้น
  • กฎหมายอาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม จะมีข้อกำหนดต่างๆ เช่น ขนาดห้องพักขั้นต่ำ ,ความกว้างทางเดิน ระยะ SET BACK ระยะร่นแนวอาคารต่างๆ จำนวนที่จอดรถและอื่นๆ เป็นต้น

2.5 ศึกษากฎหมายควบคุมอาคาร กำหนดข้อบังคับในการออกแบบและก่อสร้างอาคารแต่ละประเภท เช่น ข้อกำหนดด้านการออกแบบอาคาร ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย, ความทนทาน, การป้องกันอัคคีภัย, และมาตรฐานการก่อสร้างต่างๆ

2.6 ศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อม (EIA) 

  • การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉฉพาะโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อสิ่งแวดล้อม การศึกษานี้จะช่วยให้ทราบว่าโครงการต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอะไรบ้างเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น

3 ศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาด (Marketing Feasibility Study) วิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด เพื่อให้ทราบถึงโอกาสทางธุรกิจและช่วยตัดสินใจในการลงทุนพัฒนาโครงการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพตลาด ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

Real plus-สำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์-Feasibility Study-ศึกษาความเป็นไปได้ (7)
Real plus-สำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์-Feasibility Study-ศึกษาความเป็นไปได้ (6)
Real plus-สำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์-Feasibility Study-ศึกษาความเป็นไปได้ (5)

3.1 วิเคราะห์ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ (Market Overview)

  • พิจารณาสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ การจ้างงานของประชากร รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และนโยบายภาครัฐที่ส่งผลต่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้เพื่อประเมินว่าในปีปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความน่าลงทุนหรือไม่
  • การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด โดยศึกษาการเติบโตหรือหดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ที่ต้องการลงทุน โดยดูแนวโน้มของตลาด เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภคใหม่ๆของภาครัฐ การเติบโตของชุมชนเมือง เป็นต้น

3.2 วิเคราะห์อุปสงค์-อุปทานในพื้นที่ (Demand – Supply)

  • อุปสงค์ (Demand) ศึกษาความต้องการที่อยู่อาศัยพื้นที่ โดยการสำรวจข้อมูลประชากร สภาพเศรษฐกิจ และพฤติกรรมและความต้องการลูกค้า
  • อุปทาน (Supply)  วิเคราะห์โครงการคู่แข่งในพื้นที่ใกล้เคียง มีโครงการที่กำลังพัฒนาหรือเปิดตัวในพื้นที่เดียวกันมากน้อยเพียงใด รวมถึงการศึกษาราคาขายหรือค่าเช่าของโครงการที่คล้ายกันในตลาด

3.3 ศึกษาคู่แข่งและกลุ่มลูกค้า (Competitor and Customer Analysis)

  • ลงสำรวจพื้นที่ (Survey) โดยลงพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งข้อมูลโครงการคู่แข่งใกล้เคียง ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าต่างๆ
  • ศึกษาคู่แข่ง วิเคราะห์โครงการคู่แข่งในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งในด้านจำนวนโครงการ, ขนาดพื้นที่ใช้สอย, รูปแบบการออกแบบโครงการ, การกำหนดราคาขาย กลุ่มลูกค้า และกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง
  • การศึกษากลุ่มลูกค้า (Target Market): วิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มลูกค้า เช่น รายได้ อายุ ความต้องการ กำลังซื้อ เพื่อออกแบบพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด

3.4 กำหนดตำแหน่งทางการตลาดและพัฒนาโครงการ (Market Positioning and Development)

  • กำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning) วิเคราะห์และกำหนดตำแหน่งของโครง เพื่อให้ทราบว่าควรแข่งขันในระดับใด เช่น โครงการระดับไฮเอนด์, ระดับกลาง, หรือระดับล่าง
  • รวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญเพื่อนำมาพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า และประสบความสำเร็จสูงสุด

4 ศึกษาความเป็นไปได้ทางการเงิน (Financial Feasibility Study) โดยนำข้อมูลจากการสำรวจตลาดมาวางผังโครงการ เพื่อกำหนดราคาขาย และค่าใช้จ่ายต่างๆ และคำนวณหาผลตอบแทนการลงทุนที่เป็นไปได้มากที่สุด โดยประเมินผลตอบแทนทางการเงิน เช่น การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) การวิเคราะห์กระแสเงินสด (Cash Flow) และการคำนวณจุดคุ้มทุน (Break-even Point) เป็นต้น

วิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน โครงการอสังหาริมทรัพย์-Finance Feasibility study (4)
วิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน โครงการอสังหาริมทรัพย์-Finance Feasibility study (3) irr,npv,roe,roi,cost
วิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน โครงการอสังหาริมทรัพย์-Finance Feasibility study (3) irr,npv,roe,roi,cost
วิเคราะห์ตัวเลขทางการเงิน โครงการอสังหาริมทรัพย์-Finance Feasibility study (3) irr,npv,roe,roi,cost

4.1 การประมาณการรายรับของโครงการ (Revenue Projections) โดยพิจารณารายรับต่างๆที่ได้เช่น

  • รายรับ ประมาณการรายรับจากการขายหรือให้เช่า โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดและการเปรียบเทียบกับราคาของคู่แข่งในพื้นที่ด้วย
  • รายได้อื่นๆ คำนวณรายได้อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ เช่น รายได้จากการให้บริการเครื่องซักผ้า ,รายรับจากการให้เช่าที่จอดรถต่างๆ

4.2 การประมาณการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ (Cost Estimations) พิจารณาค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นในการพัฒนาโครงการ

  • ต้นทุนการพัฒนา คำนวณต้นทุนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดินหรือค่าก่อสร้างอาคาร ค่าก่อสร้างสาธารณูปโภค รวมถึงต้นทุนอื่นๆทีเกี่ยวข้อง
  • ค่าปรับปรุงซ่อมแซม ประมาณการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงหรือซ่อมแซมโครงการ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้ตามแผน
  • ค่าดำเนินการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตต่างๆ เช่น การขอใบอนุญาตก่อสร้าง ค่าบริหารโครงการ ค่าบริหารงานก่อสร้าง ภาษี และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.3 การประมาณการสัดส่วนของเงินลงทุน (Investment and Financing)

  • เงินลงทุน ประเมินเงินทุนที่ต้องใช้ในการพัฒนาโครงการ รวมถึงการแบ่งสัดส่วนระหว่างเงินลงทุนของผู้พัฒนาและเงินกู้
  • เงินกู้และดอกเบี้ย คำนวณจำนวนเงินกู้ที่ต้องใช้ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รวมถึงเงื่อนไขการชำระคืน ซึ่งจะมีผลต่อกระแสเงินสดและความสามารถในการชำระหนี้

 

4.4 การประมาณการกระแสเงินสดของโครงการ (Cash Flow Projection)

  • กระแสเงินสด วิเคราะห์กระแสเงินสดเข้าของโครงการจากรายรับที่คาดว่าจะได้และกระแสเงินสดออกจากค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อประเมินความสามารถในการบริหารเงินสดของโครงการในแต่ละช่วงเวลา
  • กระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow) คำนวณกระแสเงินสดสุทธิเพื่อให้ทราบว่าโครงการมีกระแสเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานหรือไม่

4.5 การประมาณการผลตอบแทนของโครงการ (Project Returns)

  • คำนวณหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value – NPV) คำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน
  • ผลตอบแทนภายในของโครงการ (Internal Rate of Return – IRR)คำนวณอัตราผลตอบแทนภายในของโครงการ เพื่อดูว่าโครงการมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่
  • ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Investment – ROI) คำนวณผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินลงทุนทั้งหมดในโครงการ
  • ผลตอบแทนเฉพาะส่วนเงินลงทุนของเจ้าของ (Return on Equity – ROE) คำนวณผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของโครงการ
  • ระยะเวลาในการคืนทุน (Payback Period) คำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการคืนทุนจากรายรับของโครงการ เพื่อดูว่าการลงทุนมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับระยะเวลาหรือไม่

4.6 การวิเคราะห์ผลกระทบในอนาคต (Scenario Analysis)

  • Scenario Analysis การทำการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ในอนาคต โดยใช้สมมติฐานที่แตกต่างกันเพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นกับโครงการ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจตกต่ำ หรือความต้องการของตลาดที่ลดลง
  • การวิเคราะห์เชิงบวกและเชิงลบ วิเคราะห์ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เพื่อให้ทราบถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในสถานการณ์ต่างๆ

4.7 สรุปความเป็นไปได้ทางด้านการเงิน (Financial Feasibility Conclusion)

  • สรุปผล จากการวิเคราะห์ทั้งหมด ว่าโครงการมีความเป็นไปได้ทางด้านการเงินหรือไม่ โดยพิจารณาทั้งกระแสเงินสด ผลตอบแทน และความเสี่ยงในการลงทุน

ข้อเสนอแนะอื่นๆ เสนอแนวทางในการปรับปรุงหรือการตัดสินใจในการดำเนินการโครงการตามผลการวิเคราะห์ทางการเงิน

ข้อดีของการทำ Feasibility Study โครงการอสังหาริมทรัพย์

ลดความเสี่ยง

ช่วยให้ผู้พัฒนาโครงการ สามารถระบุปัญหาและวางแผนแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนการลงทุน

เพิ่มโอกาสความสำเร็จ

การข้อมูลที่ครบถ้วนและการวิเคราะห์เชิงลึก ทำให้การตัดสินใจลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น

คาดการ และวางแผนได้

สามารถประมาณการต้นทุน รายรับ รายจ่ายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในการพัฒนาโครงการ

เข้าใจตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้า

มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการที่จะพัฒนา การเลือกทำเลที่ตั้ง การออกแบบ หรือการวางแผนการตลาด ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจได้

มีความมั่นใจ

เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาโครงการและนักลงทุน ช่วยวางแผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงการอย่างชัดเจนและเป็นระบบ

ไม่ขัดต่อกฎหมาย

การพัฒนาโครงการไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย

สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ

  • เล่มรายงานที่มีข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมในทุกด้านของโครงการ
  • Cash Flow ข้อมูลทางการเงิน ที่เกี่ยวกับโครงการอย่างครบถ้วน
  • จำลองการวางผังโครงการเบื้องต้น
  • ไฟล์งานในรูปแบบ PDF
  • เพิ่มความมั่นใจ ลดความเสี่ยงในการลงทุน
  • คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการ

ผลงานที่ผ่านมา (Our Projects)

คำถามที่พบบ่อย ?

เราให้บริการรับศึกษาความเป็นไปได้เฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เช่น บ้านจัดสรร คอนโด อพาร์เม้นท์ โรงแรม รีสอร์ท โกดังคลังสินค้า และบ้านเช่าต่างๆ เป็นต้น

ระยะเวลาในการทำงานโดยประมาณ 30 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดความต้องการของลูกค้า ความยากง่ายของแต่ละงานด้วย

  1. เตรียมสำเนาโฉนดที่ดินขนาดเท่าตัวจริง และระวางที่ดิน(ถ้ามี)
  2. เตรียมสำเนารังวัดที่มีขนาดบุความยาวของที่ดินแต่ละด้าน (ถ้ามี จะสามารถวางผังได้ละเอียดยิ่งขึ้น ) หากไม่มีทางเราจะหาขนาดอ้างอิงกับระยะในโฉนด และระวางที่ดินโดยใกล้เคียงกับพื้นที่จริง
  3. แจ้งความต้องการของลูกค้าในเบื้องต้น รูปแบบโครงการ ,ต้องการทำเป็นรูปแบบเช่า หรือ ขาย เป็นต้น
  1. คำแนะนำในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสมและเป็นไปได้มากที่สุดในทำเลนั้นๆ
  2. ขนาด จำนวน ราคาขาย และรูปแบบอาคารที่ควรพัฒนา
  3. ทราบถึงลักษณะกลุ่มลูกค้าของโครงการ เช่น ไลฟ์สไตล์ กำลังซื้อ ความต้องการ ฯลฯ
  4. Cash Flow แสดงกระแสเงินสด รายรับ-จ่าย และกำไรจากการพัฒนาโครงการ ในรูปแบบ GPM / NPM / IRR / NPV / ROI / ROE  ฯลฯ
  5. เล่มรายงานพร้อมไฟล์สรุปประเด็นเพื่อเป็นแนวทางตัดสินใจในการพัฒนาโครงการ
  6. เล่มรายงานนี้สามารถนำไปประกอบการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้

นำพาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของคุณไปสู่ความสำเร็จอีกขั้น กับทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี